หากใครกำลังจะหาเกมทหารดีๆซักเกมเล่น หรือเกมแนวสงครามที่ไม่เว่อจนเกินไป ในหัวของพวกท่านคงคิดไปกับเกม Simulator อย่างแน่นอนเพราะจะไม่มีอะไรที่สมจริงไปกว่าการจำลองอยู่แล้ว เอาเป็นว่าไม่อยากให้เสียเวลา...ออกแขกมาขนาดนี้แล้วคงหนีไม่พ้น CO.....(ยังๆ นั้นมันรีวิวตอนต่อไป) ก็คงต้องหนีไม่พ้นซีรีส์เกม Battlefield อยู่แล้วครับ.....ซึ่งทางทีมผู้พัฒนาและผู้ผลิตก็ได้มีการเปรยตัวเกมภาคต่อไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาแล้ว บัดนี้ก็ได้ถึงเวลาแล้วที่เหล่าทหารหาญได้เวลาออกรบซักที (เกมออกตั้งแต่ปลายเดือน ต.ค แล้วโถ่ว !!)
ถ้าจะถกกันจริงๆแล้ว ซีรีส์เกม Battlefield ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม่เมากับ ซีรีส์เกม Call Of Duty อยู่บ่อยนัก (ที่จริงเกมไม่มีปัญหาหรอกแฟนบอยนี่แหละ !!!!) Battlefield ปล่อยอะไร Call Of Duty ออกมาชนกันทุกที ซึ่งการมาครั้งนี้ถือว่า Battlefield มาแบบยิ่งใหญ่จริงๆ ชูความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทางด้านความงดงามอีกครั้งกับ Frosbite 3 ที่เรียกได้ว่า "งามทะลุเหงื่อ" จริงๆเพราะครั้งนี้ทาง DICE ได้เน้นไปขายทางเนื่อเรื่องกับความงามของภาพ แต่อย่างไรก็ดีทาง DICE ก็ได้พัฒนาไปแค่ "อารมณ์ของตัวละครเท่านั้น" ไม่ได้พัฒนาไปถึงเนื้อเรื่องและความตริงใจของผู้เล่นเลย อารมณ์เหมือน "อ้าวหนังจบแล้วหรอ" ประมาณนั้นครับ แต่มีสิ่งนึงที่ทาง DICE ได้พัฒนาดีเป็นเรื่อยมาคือ Effect ภายในเกมทั้งการทำลายสิ่งก่อสร้าง เสียงต่างๆยังทำได้ตระการตาเช่นเดิม และ Action ภายในเกมที่ทำได้ดีเหมือนเดิม ทำให้ผู้เล่นรู้สึกตืนเต้นได้บ้าง ซึ่งถ้าหากใครเนี่ยมี PC เทพ ๆ ก็แนะนำให้ปรับไปที่ High หรือ Ultra ครับคุณจะพบกับความงามที่แท้จริงของขุมพลัง Frosbite 3 ที่สำหรับผมคิดว่าในคงเทียบกับภาพของ Next-Gen กันเลยทีเดียว
เรามาดูกันในส่วนของ Multiplayer กันบ้างครับ ชูมาพร้อมๆกับ Frosbite 3 ซึ่งครั้งนี้ในโหมด Multiplayer ได้มีการแปลงโฉม (แปลงโฉมมากกว่า Singleplayer อืก) หากผู้เล่นมองแค่ผิวเผินอาจบอกได้ว่างั้นๆแหละ แต่ถ้าลองมาเล่นดูจะรู้ครับว่ามันปรับไปไกลมากๆ สิ่งแรกที่ไปไกลมากๆ และผมคิดว่ามันเกมที่ไม่ได้แค่ยิงๆอย่างเดียว คือในโหมด Multiplayer จะพยามยามบังคับให้ผู้เล่นมีการวางแผนมากขึ้น มำให้ผู้เล่นสามารถเล่นกับฉากได้เช่น สถานะการณ์หนึ่งแมพ Siege of Shanghai ที่ตึกสูงๆกำลังจะถล่มลง ทำให้ผู้เล่นต้องตัดสินใจที่จะหนีตาย และการพังเขื่อนทำให้น้ำท่วมเพื่อทำให้การต่อสู้ทางบกนั้นลำบากขึ้น หรือการนำเรือรบมาเกยตื่น ทำให้ในโหมดนี้มีความครีเอทมากๆในการเอาชนะอีกฝ่าย อีกสิ่งหนึ่งที่คิดว่าน่าจะมีผลและเป็นปัจจัยอีกคือ "สภาพภูมิอากาศ" ภายในเกมแปรปรวนมาก...มากันม่วนเลย
ในภาคนี้ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่แฟนบอยคิดถึงกันมากนั้นก็คือโหมดการควบคุมแบบ Commander ที่เราจะรับบทเป็นผู้บัญชาการรบที่จะสั่งการผ่านดาวเทียมที่จะสามารถสั่งการปล่อง UAV เพื่อการหาพิกัดศัตรู จะปล่อย A C-130 มายิงขับไล่ หรือจะปล่อย Missile ลงพิ้นได้ตามใจ แต่ความสามารถนี้ก็ต้องแลกมาด้วยความเป็น Teamwork ภายในเกม เพราะ ต้องพึ่งเพื่อนภายในสมภูมิรบเพื่อการยึด Objective ต่างๆอีกด้วย
ในช่วงแรกทาง DICE ได้ปล่อยแผนที่ออกมาเพียงแค่ 10 แผนที่ แต่อัดแน่นมากับโหมดใหม่อีก 8 โหมด ซึ่ง 2 โหมดใหญ่ๆที่จะพูดกันนั้นก็คือ Obliteration ที่ผู้เล่นต้องแข่งขันแย่งระเบิด โดยเมื่อเราได้ระเบิดก็ต้องแบกระเบิดไปบึ้มที่ฝ่ายตรงข้ามอีกที (ซึ่งตำแหน่งของระเบิดจะโชว์ตัวเบ้งๆให้เราไปแย่ง ถ้าอยู่บนหลังเราก็เฮเลย) อีกหนึ่งโหมดที่น่าสนใจเช่นกัน ก็คือ Defuse โดยในโหมดนี้มี้เป้าหมายในการสังหารอีกฝ่ายหรือจะไประเบิดให้สำเร็จ ในโหมดนี้นั้นผู้เล่นไม่สามารถ Respawn ได้และสามารถถูกชุบชีวิต ได้เพียงครั้งเดียว (ต้องวางแผนกันหน่อยแล้วหละ)
สรุปตัวเกม มีความเป็นเลิศในทุกๆอย่าง ถ้าไม่นับเรื่องปัญหาจุกจิก บัค หลุดนู้นนี่นั้น ถิอว่าเป็นเกมที่สมบูรณ์แบบในทุกๆด้าน แต่ขาดๆเกินในส่วนของความเป็น Singleplayer เพราะเนื่องจากทาง DICE ไปให้ความสำคัญกับความงามเพียงอย่างเดียว ไม่ได้มาสนเรื่อง Story ซักเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงว่าแย่มากมาย เพียงแค่ว่ามันไม่ดึงดูดให้กลับมาเล่นต่อในโหมดนี้ซักเท่าไร ข้อดี คิอตัวเกมปรับปรุงในส่วนของ Multiplayer เป็นอย่างมากทำให้แลดูแปลกใหม่สุดๆ ข้อเสีย คือ "บัค" ในโหมด Singleplayer และอาการหลุดบ่อยในช่วงเวลาการเล่น (หลุดแล้วหลุดเลย คะแนนไม่ได้) แต่ก็ไม่โทษที่ Server ดีกว่าอาจเป็นที่อินเตอร์ของผู้เล่นด้วยครับ
ขอบคุณ : gamermy.com
ถ้าจะถกกันจริงๆแล้ว ซีรีส์เกม Battlefield ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม่เมากับ ซีรีส์เกม Call Of Duty อยู่บ่อยนัก (ที่จริงเกมไม่มีปัญหาหรอกแฟนบอยนี่แหละ !!!!) Battlefield ปล่อยอะไร Call Of Duty ออกมาชนกันทุกที ซึ่งการมาครั้งนี้ถือว่า Battlefield มาแบบยิ่งใหญ่จริงๆ ชูความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทางด้านความงดงามอีกครั้งกับ Frosbite 3 ที่เรียกได้ว่า "งามทะลุเหงื่อ" จริงๆเพราะครั้งนี้ทาง DICE ได้เน้นไปขายทางเนื่อเรื่องกับความงามของภาพ แต่อย่างไรก็ดีทาง DICE ก็ได้พัฒนาไปแค่ "อารมณ์ของตัวละครเท่านั้น" ไม่ได้พัฒนาไปถึงเนื้อเรื่องและความตริงใจของผู้เล่นเลย อารมณ์เหมือน "อ้าวหนังจบแล้วหรอ" ประมาณนั้นครับ แต่มีสิ่งนึงที่ทาง DICE ได้พัฒนาดีเป็นเรื่อยมาคือ Effect ภายในเกมทั้งการทำลายสิ่งก่อสร้าง เสียงต่างๆยังทำได้ตระการตาเช่นเดิม และ Action ภายในเกมที่ทำได้ดีเหมือนเดิม ทำให้ผู้เล่นรู้สึกตืนเต้นได้บ้าง ซึ่งถ้าหากใครเนี่ยมี PC เทพ ๆ ก็แนะนำให้ปรับไปที่ High หรือ Ultra ครับคุณจะพบกับความงามที่แท้จริงของขุมพลัง Frosbite 3 ที่สำหรับผมคิดว่าในคงเทียบกับภาพของ Next-Gen กันเลยทีเดียว
เรามาดูกันในส่วนของ Multiplayer กันบ้างครับ ชูมาพร้อมๆกับ Frosbite 3 ซึ่งครั้งนี้ในโหมด Multiplayer ได้มีการแปลงโฉม (แปลงโฉมมากกว่า Singleplayer อืก) หากผู้เล่นมองแค่ผิวเผินอาจบอกได้ว่างั้นๆแหละ แต่ถ้าลองมาเล่นดูจะรู้ครับว่ามันปรับไปไกลมากๆ สิ่งแรกที่ไปไกลมากๆ และผมคิดว่ามันเกมที่ไม่ได้แค่ยิงๆอย่างเดียว คือในโหมด Multiplayer จะพยามยามบังคับให้ผู้เล่นมีการวางแผนมากขึ้น มำให้ผู้เล่นสามารถเล่นกับฉากได้เช่น สถานะการณ์หนึ่งแมพ Siege of Shanghai ที่ตึกสูงๆกำลังจะถล่มลง ทำให้ผู้เล่นต้องตัดสินใจที่จะหนีตาย และการพังเขื่อนทำให้น้ำท่วมเพื่อทำให้การต่อสู้ทางบกนั้นลำบากขึ้น หรือการนำเรือรบมาเกยตื่น ทำให้ในโหมดนี้มีความครีเอทมากๆในการเอาชนะอีกฝ่าย อีกสิ่งหนึ่งที่คิดว่าน่าจะมีผลและเป็นปัจจัยอีกคือ "สภาพภูมิอากาศ" ภายในเกมแปรปรวนมาก...มากันม่วนเลย
ในภาคนี้ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่แฟนบอยคิดถึงกันมากนั้นก็คือโหมดการควบคุมแบบ Commander ที่เราจะรับบทเป็นผู้บัญชาการรบที่จะสั่งการผ่านดาวเทียมที่จะสามารถสั่งการปล่อง UAV เพื่อการหาพิกัดศัตรู จะปล่อย A C-130 มายิงขับไล่ หรือจะปล่อย Missile ลงพิ้นได้ตามใจ แต่ความสามารถนี้ก็ต้องแลกมาด้วยความเป็น Teamwork ภายในเกม เพราะ ต้องพึ่งเพื่อนภายในสมภูมิรบเพื่อการยึด Objective ต่างๆอีกด้วย
โหมดนั่งสั่งการ (Commander)
ในช่วงแรกทาง DICE ได้ปล่อยแผนที่ออกมาเพียงแค่ 10 แผนที่ แต่อัดแน่นมากับโหมดใหม่อีก 8 โหมด ซึ่ง 2 โหมดใหญ่ๆที่จะพูดกันนั้นก็คือ Obliteration ที่ผู้เล่นต้องแข่งขันแย่งระเบิด โดยเมื่อเราได้ระเบิดก็ต้องแบกระเบิดไปบึ้มที่ฝ่ายตรงข้ามอีกที (ซึ่งตำแหน่งของระเบิดจะโชว์ตัวเบ้งๆให้เราไปแย่ง ถ้าอยู่บนหลังเราก็เฮเลย) อีกหนึ่งโหมดที่น่าสนใจเช่นกัน ก็คือ Defuse โดยในโหมดนี้มี้เป้าหมายในการสังหารอีกฝ่ายหรือจะไประเบิดให้สำเร็จ ในโหมดนี้นั้นผู้เล่นไม่สามารถ Respawn ได้และสามารถถูกชุบชีวิต ได้เพียงครั้งเดียว (ต้องวางแผนกันหน่อยแล้วหละ)
โหมด Obliteration
สรุปตัวเกม มีความเป็นเลิศในทุกๆอย่าง ถ้าไม่นับเรื่องปัญหาจุกจิก บัค หลุดนู้นนี่นั้น ถิอว่าเป็นเกมที่สมบูรณ์แบบในทุกๆด้าน แต่ขาดๆเกินในส่วนของความเป็น Singleplayer เพราะเนื่องจากทาง DICE ไปให้ความสำคัญกับความงามเพียงอย่างเดียว ไม่ได้มาสนเรื่อง Story ซักเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงว่าแย่มากมาย เพียงแค่ว่ามันไม่ดึงดูดให้กลับมาเล่นต่อในโหมดนี้ซักเท่าไร ข้อดี คิอตัวเกมปรับปรุงในส่วนของ Multiplayer เป็นอย่างมากทำให้แลดูแปลกใหม่สุดๆ ข้อเสีย คือ "บัค" ในโหมด Singleplayer และอาการหลุดบ่อยในช่วงเวลาการเล่น (หลุดแล้วหลุดเลย คะแนนไม่ได้) แต่ก็ไม่โทษที่ Server ดีกว่าอาจเป็นที่อินเตอร์ของผู้เล่นด้วยครับ
ขอบคุณ : gamermy.com